วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การวิเคราะห์วัตถุประสงค์

การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ (Objective Analysis)
การวิเคราะห์(Analysis) เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ ซึ่ง มีความสำคัญยิ่งที่ผู้ออกแบบบทเรียนจะต้องดำเนินการอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้ได้บทเรียนที่ดีและตรงตามความต้องการของผู้เรียน ส่วนที่มีความสำคัญคือ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์เนื่องจากวัตถุประสงค์เป็นตัวกำหนดรายละเอียดของเนื้อหา แบบทดสอบ กิจกรรมการเรียน และสื่อการเรียนการสอน ดังนั้น ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ ต้องวิเคราะห์วิเคราะห์วัตถุประสงคโดยละเอียด ถ้ามีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่รัดกุม ชัดเจนจะเป็นการเริ่มต้อนที่ดี ผลที่ได้จากวัตถุประสงค์คือ
1. การกำหนดขอบเขตของเนื้อหาบทเรียน
2. การออกแบบทดสอบที่ใช้ประเมินผู้เรียน
3. การเลือกสื่อการเรียนการสอน
4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. การจัดแบ่งเวลาเรียน
ประเภทของวัตถุประสงค์ของบทเรียน
1. วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objectives) เมื่อมีการเรียนการสอนแล้วผู้เรียนจะเรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งเป็นแต่เพียงกรอบหรือแนวกว้าง ๆ ของหลักสูตรหรือของบทเรียน
2. วัตถุประสงค์เฉพาะหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Specific Objectives or Behavioral Objectives) เป็นวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้น ว่าเรียนแล้วผู้เรียนควรได้อะไร ได้มากหรือน้อยเท่าใด
ส่วนประกอบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ดังนี้
1. พฤติกรรมขั้นสุดท้ายหรือพฤติกรรมที่คาดหวัง (Terminal Behavior) หมายถึง การแสดงออกของผู้เรียน เมื่อ สิ้นสุดบทเรียนแล้วผู้เรียนแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นจะ
ต้องวัดได้หรือสังเกตได้
2. เงื่อนไขหรือสถานการณ์(Condition or Situation) เป็นข้อความที่บ่งถึงสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ เงื่อนไขพฤติกรรมที่คาดหวังออกมา มี 3 ลักษณะดังนี้
2.1 ลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาบทเรียน
2.2 ลักษณะของสิ่งเร้าที่ทำให้ผู้เรียนแสดพฤติกรรมออกมา
2.3 ลักษณะที่เป็นเงื่อนไขของการกระทำ
 3. เกณฑ์หรือมาตรฐาน (Standard or Criteria) เป็นส่วนกำหนดความสามารถขั้นต่ำของผู้เรียน การกำหนดเกณฑ์สามารถทำได้หลายลักษณะดังนี้
3.1 ลักษณะความเร็วหรือการบ่งเวลา ลักษณะเช่นนี้เน้นความชำนาญมากกว่าความรู้
3.2 ลักษณะปริมาณที่ต่ำสุด
3.3 เป็นเกณฑ์ที่ไม่สามารถระบุทั้งความเร็วและปริมาณได้
                ความหมายของคำว่าได้หมายถึงได้อย่างถูกต้องซึ่งเป็นการกำหนดเกณฑ์ในลักษณะของคุณภาพ ขึ้นอย่กับองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนดังต่อไปนี้
1. ระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียน
2. ความยากง่ายของเนื้อหา
3. ความสำคัญของเนื้อหา
การจำแนกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม จำแนกตามลักษณะของการเรียนรู้ได้3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domainจะเน้นทางด้านความสามารถทางด้านสมรรถภาพทางสมองหรือการใช้ปัญญา ได้จำแนกออกเป็น 6 ระดับ
1.1 ขั้นความรู้ (Knowledge)
1.2 ขั้นความเข้าใจ (Comprehension)
1.3 ขั้นการนำไปใช้(Application)
1.4 ขั้นการวิเคราะห์(Analysis)
1.5 ขั้นการสังเคราะห์(Synthesis)
1.6 ขั้นการประเมินผล (Evaluation)
2. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นการแบ่งระดับพฤติกรรมที่เกี่ยวกับทักษะความชำนาญ จำแนกออกเป็น 5 ระดับ
2.1 ขั้นการเลียนแบบ (Imitation)
2.2 ขั้นการปฏิบัติได้โดยลำพัง (Manipulation)
2.3 ขั้นการปฏิบัติได้ถูกต้องแม่นยำ (Precision)
2.4 ขั้นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและผสมผสาน (Articulation)
2.5 ขั้นการปฏิบัติโดยอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ(Naturalization)
3. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain) เป็นการเน้นความสามารถทางด้านความรู้สึกอารมณ์เจตคติต่อ
สิ่งต่าง ๆ แบ่ง พฤติกรรมด้านนี้ออกเป็น 5 ระดับ
3.1 ขั้นการยอมรับ (Receiving)
3.2 ขั้นการตอบสนอง (Responding)
3.3 ขั้นการสร้างค่านิยม (Valuing)
3.4 ขั้นดำเนินการ (Organization)
3.5 ขั้นแสดงลักษณะเฉพาะตนตามค่านิยม (Characterization by a Value)
การจำแนกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์
ถ้าจำแนกระดับของวัตถุประสงค์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ละเอียดเกินไป ก็ยากเกินกว่าที่จะสร้างสรรค์เป็นบทเรียนได้ ดังนั้น จึงมีการนำเสนอรูปแบบการจำแนกระดับของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์ใหม่ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ทางด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
จำแนกออกได้ 3 ระดับ ได้แก่
1.1  ขั้นการฟื้นคืนความรู้ (Recalled Knowledge) มุ่งเน้นความสามารถของผู้เรียนในลักษณะการฟื้นคืนความจำออกมาในลักษณะของการเขียนหรือการอธิบายด้วยคำพูด
1.2  ขั้นการประยุกต์ความรู้ (Applied Knowledge) เน้นความรู้ใหม่ๆของผู้เรียนและนำไปใช้อย่างถูกต้อง
1.3ขั้นการส่งถ่ายความรู้ (Transferred Knowledge) มงุ่ เน้นความสามารถของผู้เรียนในการส่งถ่ายความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในงานใหม่ ๆ ได้อย่างถูกต้อง
2. วัตถุประสงค์ทางด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) จำแนกออกได้ 3 ระดับ คือ ขั้นลอกเลียน (Imitation) ขั้นฝึกหัดความชำนาญ (Control) และขั้นความเป็นธรรมชาติแบบอัตโนมัติ(Automatism)
3. วัตถุประสงค์ทางด้านเจตพิสัย (Affective Domain) วัตถุประสงค์ด้านนี้จำแนกได้ 3 ระดับ คือ ขั้นการรับรู้ (Reception) ขั้นการตอบสนอง(Response) และขั้นการยึดมั่น (Internalization)
ข้อพิจารณาในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาขึ้น จะพิราณาดังนี้
                1.วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ต้องบ่งถึงพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากที่ผ่านบทเรียนไปแล้ว ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหรือเกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอน
                2.พฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้เรียน จะต้องบ่งชี้ด้วยกริยาที่วัดได้
                3.  วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องเกี่ยวกับผู้เรียน ไม่ใช่พฤติกรรมผู้สอนหรือของบทเรียน
                5. จำนวนข้อต้องครอบคลุมเนื้อหาสาระ
                6. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมแต่ละข้อ ควรวัดพฤติกรรมเพียงด้านเดียวหรืออย่างเดียว
                7. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในบทเรียนหนึ่ง ๆ ควรวัดพฤติกรรมให้ครบทุกด้าน
                8. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมนิยมเขียนด้วยประโยคบอกเล่า
                9. เขียนด้วยประโยคหรือข้อความสั้นๆ กระชับได้ใจความ
การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis)
การได้มาซึ่งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis) เพื่อแยกแยะว่าผู้เรียนควรจะทำงานย่อยๆ อะไรได้บ้าง จึงจะเรียกว่าบรรลุผลการทำงานนั้น ๆ งานหรือภารกิจ (Task) หมายถึงพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกในรูปของการกระทำที่บ่งชี้ถึงความสามารถในงานนั้นๆ
การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) หมายถึง กระบวนการพิจารณา จำแนก แยกแยะ ระบุประเมินผล และจัดข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับงานหรือภารกิจอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์งานจำแนกออกเป็น 3 แบบ ดังนี้
                1. งานที่เกิดจากการแยกออกเป็นงานย่อย (Task Decomposition)
2. งานที่เกิดจากการวิเคราะห์ฐานความรู้ (Knowledge-based Analysis)
3. งานที่เกิดจากการวิเคราะห์ฐานความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่(Entity Relationship-based Analysis)
กระบวนการวิเคราะห์งาน มีดังนี้
1.      กำหนดตำแหน่งงาน (Define the Position Title) เป็นหัวข้องานหรือหัวข้อบทเรียนที่กำหนดขึ้น เพื่อต้องการวิเคราะห์งานก่อนที่จะนำไปเขียนวัตถุประสงค์
2.      แยกแยะงานทั้งหมดทสีั่มพันธ์กับหน้าที่ (Identify All Job-Related Duties) เป็นการแยกแยะงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับหน้าที่ของตำแหน่งงานดังกล่าว
3.      แยกแยะงานหรือภารกิจทงั้ หมด (Identify All Tasks)
3.1 ประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์งาน (Experiences)
3.2 หลักสูตรรายวิชา (Course Description)
3.3 ตำรา เอกสาร หนังสือ หรือแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ (Literatures)
3.4 การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ (Experts)
3.5 การสังเกตการทำงาน (Job Observation)
                4. ประเมินความสำคัญของงานหรือภารกิจ (Task Evaluation)
                5. จัดลำดับงานหรือภารกิจ (Order the Tasks)
เกณฑ์การประเมินความสำคัญของงานหรือภารกิจ
            การประเมินความสำคญั ของงานหรือภารกิจที่ได้จึงมีเกณฑ์การพิจารณาจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
1. การส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาในการเรียน (Promotes Problem Solving)
2. การส่งเสริมทักษะในการทำงานถูกต้องสมบูรณ์ (Promotes Learning Skill)
3. การส่งเสริมผู้เรียนให้มีเจตคติที่ดี (Promotes Transfer Value)
การใช้Network Diagram จัดลำดับความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจ
Network Diagram เป็นแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจเพื่อแสดงลำดับความต่อเนื่องและความสัมพันธ์ของงานทั้งที่ได้จากการวิเคราะห์ รวมทั้งแสดงทางเลือกที่เป็นไปได้ของงานหรือภารกิจ Network Diagram จะเริ่มต้นด้วยจุด Start และสิ้นสุดที่จุด Stop แสดงความสัมพันธ์ของงาน โดยใช้เส้นตรงต่อเนื่องกันแบบอนุกรมเพื่อแทนงานหรือภารกิจที่ต่อเนื่องกันและใช้เส้นตรงขนานกันสำหรับแสดงงานหรือภารกิจที่สามรถามารถเริ่มได้พร้อมกัน

การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจากการวิเคราะห์งานหรือภารกิจ
การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยพิจารณาจากงานหรือภารกิจทีละข้อ ๆ จนครบตามแบบฟอร์มTask Evaluation Sheet โดยนำงานหรือภารกิจที่ผ่านการจัดลำดับมาแล้ว มาระบุเป็นพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ทำการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามหลักการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนในการวิเคราะห์วัตถุประสงค์มีดังนี้
1.             วิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis)
2.             ประเมินความสำคัญของแต่ละงานย่อย (Task Evaluation)
3.             จัดลำดับความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจที่ผ่านการยอมรับจากการประเมิน(Order the Task)
4.             เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Write Behavioral Objective)
ระดับความยากของวัตถุประสงค์(Difficulty of Objective)
            ระดับความยากของวัตถุประสงค์ (Difficulty of Objective) หมายถึง ระดับของการวัดของวัตถปุระสงค์ที่กระทำต่อผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมรรมใด ๆ ออกมาตามระดับทที่ต้องการ
                การกำหนดระดับความยากของวัตถุประสงค์ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1.             ระดับของผู้เรียน (Level of Audience)
2.             ความยากของเนื้อหา (Difficulty of Content)

การวิเคราะห์เนื้อหาและยุทธวิธีด้านการสอน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหา
            เนื้อหา (Content) หมายถึง ข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเพิ่มพูนประสบการณ์ทั้งที่เป็นความรู้และทักษะแก่ผู้เรียน  ความคิดรวบยอดหรือสังกัป หมายถึง เป้าหมายหรือแกนของสาระของบทเรียนที่จำแนกความแตกต่างขององค์ประกอบย่อยๆ หรือรวบรวมจากองค์ประกอบย่อยๆ
การกำหนดความคิดรวบยอดของเนื้อหา พิจารณาจากสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
1.      ลักษณะที่เห็นจากภายนอก
2.      ลักษณะที่อยู่ภายใน
3.      ความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ
4.      องค์ประกอบพิเศษอื่น ๆ
ประเภทของเนื้อหา
เนื้อหาจำแนกตามลักษณะของการเรียนรู้ได้ 2 ประเภท คือ 1) ประเภทความรู้ทางทฤษฎี(Knowledge)ท่ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านพุทธพิสัย และ 2) ประเภททักษะความชำนาญ (Skill)ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านทักษะพิสัย สามารถจำแนกได้4 ระดับ ดังนี้
1.             เนื้อหาที่เป็นจริง และกระบวนการ (Facts and Process)
2.             เนื้อหาที่เป็นแนวคิดเบื้องต้น (Basic Idea)
3.             เนื้อหาที่แสดงความคิดรวบยอด (Concept)
4.             เนื้อหาที่อยู่ในรูปของระบบความคิด (Thought System)
เกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาเลือกเนื้อหา
1. มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้เพื่อการดำรงชีวิต
2. มีคุณค่าที่จะถ่ายทอดต่อไป
3. เป็นแก่นของสาระที่มีความสำคัญต่อศาสตร์นั้นๆ
4. สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
5. สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้เรียน
6. เป็นเนื้อหาที่ช่วยกระตุ้นแนวความคิดของผู้เรียน
7. เป็นเนื้อหาที่สมดุลทั้งขอบข่ายและความลึก
8. ทันต่อเทคโนโลยีและความก้าวหน้า
9. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนที่กำหนดไว้
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
การวิเคาะห์เนื้อหา พิจารณาสองประเด็นดังนี้
1. องค์ประกอบในการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
 1.1 แหล่งที่มาของเนื้อหา (Content Resources)
 1.2 วัตถุประสงค์การวิเคราะห์เนื้อหา (Objective of Content Analysis)
 1.3 หน่วยที่ใช้ในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis)
2. ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
                2.1 การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective)
2.2 การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data)
2.3 การประเมินความสำคัญของหัวเรื่องย่อย (Evaluate Sub-Topic)
2.4 การจัดลำดับความสัมพันธ์ของหัวเรื่อง (Sequencing)
2.5 การเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)
ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา
            1. การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective) การวิเคราะห์เนื้อหาจึงต้องศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนที่ได้จากการวิเคราะห์งานหรือภารกิจอย่างละเอียด เพื่อพิจารณาถึงเค้าโครง ลักษณะและความสัมพันธ์ของเนื้อหาแต่ละส่วนที่จะนำไปสร้างเป็นตัวบทเรียนคอมพิวเตอร์ต่อไป
2. การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data) ข้อมูลในที่นี้ หมายถึง ข้อความ เนื้อหา ภาพ เสียง วัสดุเครื่องมือ โปรแกรม และส่วนอื่นๆ ที่ใช้ในการนำเสนอและออกแบบบทเรียน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักดังนี้
                1) ส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียน (Subject Matter Resources)
2) ส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบบทเรียน (Instructional Design Resources)
3) กระบวนการที่เกี่ยวกับการนำส่งบทเรียน (Delivery System Resources)
ขั้นตอนการรวบรวมและการศึกษาข้อมูล มีดังนี้
2.1 รวบรวมข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมดหมดจากแหล่งที่มาของเนื้อหา
2.2 ประเมินข้อมูลปัจจุบันเหล่านั้นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.3 รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆภายนอก
2.4 ประเมินข้อมูลทั้งหมดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.5 ศึกษารายละเอียดของข้อมูลที่ได้
ขั้นตอนการรวบรวมและการศึกษาข้อมูล มีดังนี้
2.1 รวบรวมข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมดจากแหล่งที่มาของเนื้อหา
2.2 ประเมินข้อมูลปัจจุบันเหล่านั้นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.3 รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆ ภายนอก
2.4 ประเมินข้อมูลทั้งหมดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.5 ศึกษารายละเอียดของข้อมูลที่ได้
3. การประเมินความสำคัญของหัวข้อย่อย (Evaluate Sub-Topic)
                3.1 การส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาในการเรียน (Promotes Problem Solving)
                3.2 การส่งเสริมทักษะในการทำงานถูกต้องสมบูรณ์(Promotes Learning Skill)
                3.3 การส่งเสริมผู้เรียนให้มีเจตคติที่ดี (Promotes Transfer Value)
4. การจัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหา (Sequencing)
                4.1 จัดลำดับเนื้อหา โดยพิจารณาเนื้อหาจากง่ายไปสู่เนื้อหายาก
                4.2 จัดตามลำดับก่อนหลังของเนื้อหา
4.3 จัดลำดับเนื้อหาจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย ๆ
4.4 จัดลำดับเนื้อหาตามลำดับเวลาที่เกิดก่อนหลัง
4.5 จัดลำดับเนื้อหาจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม
4.6 จัดลำดับเนื้อหาจากที่สังเกตได้มาเป็นข้อมูลหรือกฎเกณฑ์
5. การเขียนเนื้อหาใหสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)
                5.1 เนื้อหาหลัก (Main Element) ได้แก่ความคิดรวบยอดที่เป็นแกนของเนื้อหานั้น ๆ
                5.2 ความรู้ต่าง ๆ (Knowledge) ได้แก่ข้อมูลหรือข้อมูลปลีกย่อยที่สนับสนุนให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาหลัก
ขั้นตอนการเรียนการสอน
ขั้นตอนการเรียนการสอน สามารถจำแนกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นสนใจปัญหา (M : Motivation) ในบทเรียนคอมพิวเตอร์แล้ว ขั้นสนใจปัญหามักจะเริ่มต้นด้วยการสร้างปัญหาให้ผู้เรียนได้คิด
2. ขั้นศึกษาข้อมูล (I : Information) ขั้นตอนนจึงเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆที่จะช่วยแก้ปัญหาที่ตั้งไว้ตอนแรก
3. ขั้นนำข้อมูลมาใช้(A : Application) เป็นการแก้ปัญหาโดยใช้ข้อสองมาเป็นข้อมูล เพื่อตรวจสอบกับความรู้ใหม่ที่ได้รับมาแก้ปัญหาที่มี
4. ขั้นประเมินผลสำเรจ็ (P : Progress) เป็นการตรวจสอบผลที่ได้นำข้อมูลมาใช้ว่า ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่โดยพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก
วิธีการนำส่งบทเรียนคอมพิวเตอร์
1.             นำเสนอแบบเป็นกลุ่ม (Group Presentation)
2.             นำเสนอแบบกลุ่มย่อย (Small-group Presentation)
3.   แบบเรียนด้วยตัวเอง (Self-pace Instruction)
การประเมินผลการเรียนการสอน
ปัจจัยในการพิจารณาแบบทดสอบที่ใช้ในการประเมินผลมีทั้งหมด 7 ประเด็นดังนี้
1. พฤติกรรมของผู้เรียนที่ต้องการ (Audience Behaviors)
2 เวลาในการทดสอบ (Time)
3. ลักษณะการสอบ (Kind of Test)
4. วิธีการสอบ (Methodology)
5. ความถี่ในการสอบ (Frequency)
6. เกณฑ์(Criteria)
7. ลักษณะการตรวจผล (Checking Method)
ขั้นตอนการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1. ศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
2. กำหนดชนิดของแบบทดสอบ
3. เตรียมงานและเขียนแบบทดสอบฉบับร่าง
4. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ
5. ดำเนินการจัดพิมพ์แบบทดสอบ
ชนิดของแบบทดสอบสำหรับการเรียนการสอน
แบบทดสอบจำแนกออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test)
2. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)
ลักษณะของแบบทดสอบที่ดี
1.             มีความเที่ยงตรง (Validity)
2.             มีความเชื่อมั่นสูง (Reliability)
3.             มีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty)
4.             มีอำนาจจำแนกดี (Discrimination)
5. มีความเป็นปรนัย (Objectivity)
6. มีลักษณะการส่งถ่าย (Transferable)
7. เรียงลำดับเหมาะสม (Sequence)
8. มีลักษณะเฉพาะ (Specificity)
9. มีประสิทธิภาพ (Efficiency)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น