วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การออกแบบโปสเตอร์

การออกแบบโปสเตอร์

โปสเตอร์สามารถสื่อสารได้มากกว่าการพูดคุย

มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะ
     - ไอเดียร์ทุกอย่างรวมอยู่ในโปสเตอร์
     - สามารถดูได้โดยไม่มีคนคอยอธิบาย
     - สามารถแขวนในห้อง ทางเดินได้ เป็นระยะเวลานานๆ
     - สามารถเข้าถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการวิจัย



โปสเตอร์ทำหน้าที่เป็น
     - การโฆษณาประชาสัมพันธ์งานของคุณที่ทำอยู่  จะแสดงในแบบนามธรรม



เป็นนามธรรมที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
    - ทำไมทุกคนต้องสนใจ
    - อะไรเป็นความรู้ให้แก่ปัจจุบัน
    - ฉันจะต้องอธิบายถึงวิธีการ
    - บอกสิ่งที่พบเห็นและแนะนำ




การใส่ใส่เดือนและปี ของงานวิจัยในโปสเตอร์ทำได้โดย
    - โปสเตอร์ของคุณเป็นเรื่องราวสั้นๆ
    - มีการอธิบายถึงจุดสำคัญน้อย
    - กระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน
    - จำกัดจำนวนคำไม่เกิน 250 คำ

“โปสเตอร์” สื่อโฆษณาไม่มีวันตาย
เมื่อพูดถึง “การโฆษณา” หลายๆ คนจะนึกถึงสื่อวิทยุโทรทัศน์เป็นอันดับแรกๆ รองลงมาก็คือสื่อออนไลน์อย่าง Social Media ทั้งหลายทั้ง Facebook Twitter Instagram ที่ทุกคนต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สำหรับนักอ่านก็อาจจะนึกถึงสื่อสิ่งพิมพ์ อย่างหนังสือพิมพ์ แม็กกาซีนต่างๆ ที่ต่างก็มีพื้นที่ไว้สำหรับโฆษณาสินค้า ประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้ผู้อ่านได้ร่วมสนุก
แต่คุณทราบหรือไม่ว่านอกจากสื่อโฆษณาต่างๆ ที่คุณมักจะนึกถึงกันนั้น ในแวดวงโฆษณาต่างก็รู้กันดีว่า ยังคงมีสื่ออีกประเภทหนึ่งที่นับว่าเป็นสื่อโฆษณาอันทรงพลังอีกสื่อหนึ่งเลยก็ว่าได้และสื่อโฆษณาที่ว่านี้ก็ได้แก่ “โปสเตอร์โฆษณา” นั่นเอง
หากจะพูดถึงประวัติความเป็นมาของ “โปสเตอร์” ก็พอจะให้ที่มาคร่าวๆ ว่า แผ่น “โปสเตอร์” (Poster) นี้ถือกำเนิดขึ้นโดยฝีมือจิตกรกรชาวฝรั่งเศสในราวคริสต์ศตวรรษ 1890 ต่อมาศิลปินชื่อดัง จูลส์ เชเรท์ (Jules Chéret) ได้เผยแพร่ผลงานโปสเตอร์ไปทั่วยุโรปจนได้รับการนิยม ทำให้เชเรท์ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการโฆษณาด้วยป้าย จากยุค 1890 มาสู่ยุค 2013 แม้ว่าเทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนาก้าวสู่ยุค 3G แล้วก็ตาม ทำให้เกิดช่องทางเข้าถึงผู้คนอย่างมากมาย แต่สำหรับการโฆษณาด้วยโปสเตอร์นั้นก็ยังคงอยู่
ข้อความพร้อมภาพขนาดใหญ่พิมพ์ลงบนกระดาษถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอข้อมูลไปถึงผู้อ่านที่ติดหรือแขวนอยู่ตามผนัง กำแพง ของอาคารสถานที่ต่างๆ ตามพื้นที่ว่างของรถสาธารณะ เป็นที่รู้กันเราต่างเรียกสิ่งนั้นว่า “โปสเตอร์” (Poster) ซึ่งจุดประสงค์ของการใช้โปสเตอร์ก็ไม่ได้มีไว้แค่ใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น แต่ยังมีการใช้โปสเตอร์เพื่อการประชาสัมพันธ์กิจกรรมงานต่างๆ เพื่อเป็นสื่อการสอนในการศึกษา เพื่อใช้พิมพ์ภาพจิตรกรรมของศิลปินคนสำคัญไว้ตกแต่งตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ จะเห็นว่าจุดประสงค์ของการใช้โปสเตอร์มีมากมายหลายด้าน แต่ส่วนมากจะนิยมใช้โปสเตอร์เพื่อเป็นสื่อในการโฆษณา กระตุ้นการสร้างยอดขาย กระตุ้นการสร้างส่วนแบ่งทางตลาด ช่วยให้ผู้อ่านรู้จักสินค้ามากขึ้น ขยายฐานลูกค้าใหม่ ตลอดจนให้ผู้อ่านรับรู้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับแบรนด์ของสินค้านั้น เพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่าให้มั่นคง
ประเภทของโปสเตอร์
โดยทั่วไปนิยมแบ่งประเภทของโปสเตอร์ตามจุดประสงค์การใช้งานหรือตามเนื้อหาของข้อมูลที่ปรากฎในโปสเตอร์ ซึ่งก็จะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โปสเตอร์เพื่อการโฆษณาสินค้าและบริการ กับโปสเตอร์ที่มิใช่เพื่อการค้า เช่น โปสเตอร์โฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง รณรงค์เพื่อการกุศล เป็นต้น
แต่เมื่อแบ่งประเภทของโปสเตอร์ตามลักษณะสถานที่ตั้งโปสเตอร์ก็จะแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
1.โปสเตอร์นอกสถานที่ เช่น บิลล์บอร์ด(Billboard) ซึ่งหมายถึงโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ตามริมถนน บนกำแพงผนังตึกริมถนน เน้นการเห็นเด่นชัด
2.โปสเตอร์ประเภทเคลื่อนที่ พบเห็นได้มากตามด้านข้าง ท้ายรถ หรือหลังเก้าอี้ของรถโดยสารประจำทาง และสุดท้าย
3.โปสเตอร์ติดภายใน ได้แก่ โปสเตอร์ที่ติดอยู่ตามสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า
จุดเด่น
จุดเด่นของการเลือกใช้โปสเตอร์เป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณานี้คือ ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม รวดเร็ว โดยเฉพาะการติดตั้งโปสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆ กระจายไว้หลายๆ แห่ง เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตามแต่ต้องการเพราะสามารถกำหนดได้ว่าจะติดตั้งโปสเตอร์ดังกล่าวไว้เฉพาะบริเวณพื้นที่ที่ต้องการเข้าถึงในส่วนไหน อีกทั้งยังเป็นสื่อที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลา โปสเตอร์โฆษณามีโอกาสถูกพบเห็นได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีขนาดใหญ่ มีสีสันและเทคนิคต่างๆ ที่ทำให้เป็นที่สะดุดตา สะดุดใจได้ง่าย สามารถใช้เป็นสื่อเสริมสนับสนุนสื่ออื่นๆ ได้ดีในลักษณะการย้ำเตือนความจำหรือเสนอข่าวสารแบบสั้นๆ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการทำโปสเตอร์สำหรับโฆษณาแล้วถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนผู้พบเห็นและกับสื่ออื่นๆ
ข้อจำกัด
โปสเตอร์ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลหรือข่าวสารได้อย่างละเอียดด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ประกอบกับคนดูจะใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการชำเลืองสายตามอง หรือมองแบบผ่านๆ ขณะเดียวกันคนดูเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สนใจกับการหยุดอ่านข้อความตามสถานที่ต่างๆ อยู่แล้ว เพราะอยู่ในภาวะที่ต้องรีบเร่งเดินทาง ต้องระมัดระวังการใช้ยวดยานบนท้องถนน ซึ่งถ้าโปสเตอร์นั้นทำขึ้นมาไม่สะดุดสายตาคนดูได้มากพอ คนดูก็จะเดินผ่านไป ไม่สนใจรายละเอียดโปสเตอร์อีก
จากข้อจำกัดดังกล่าวคงทำให้ผู้อ่านเริ่มทราบกันแล้วว่าการทำโปสเตอร์นั้นแม้จะดูเป็นเรื่องง่ายแต่ในการทำให้สัมฤทธิ์ผล คือ สื่อความได้สำเร็จ คนดูรับรู้ในข้อมูลที่ได้นำเสนอไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้ง่ายเลย และยิ่งถ้าเป็นการทำโปสเตอร์สำหรับการโฆษณาด้วยแล้ว ก็ต้องขอบอกว่าเป็นการบ้านปราบเซียนเลยทีเดียวเมื่อการทำโปสเตอร์แผ่นหนึ่งจะมีผลต่อการจำหน่ายของสินค้าชิ้นหนึ่งๆ อย่ารอช้าที่จะเรียนรู้ ไปเริ่มกันเลยดีกว่าว่าองค์ประกอบหลักๆ ที่ต้องมีในโปสเตอร์โฆษณานั้นมีอะไรบ้าง
องค์ประกอบหลักสำหรับโปสเตอร์โฆษณา
ให้พึงระลึกไว้เสมอว่าการทำโปสเตอร์โฆษณา คือ การนำสิ่งที่เจ้าของสินค้าหรือผู้ที่ต้องการโฆษณาออกมาเผยแพร่ไปสู่กลุ่มคน จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้
รูปของสินค้าที่ต้องการนำเสนอ ( Image ) คำพูด ข้อความ หรือสโลแกนที่จะโฆษณา ( Letter ) และสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้ ก็คือ ชื่อสินค้า ชื่อแบรนด์หรือบริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าที่จะโฆษณา ( Trade Mark ) นักออกแบบโปสเตอร์จะต้องนำเสนอองค์ประกอบทั้ง 3 นี้โดยเน้นให้ผู้อ่านรับรู้อย่างเข้าใจ กระตุ้นความรู้สึกผู้อ่านให้สนใจในสินค้าที่นำเสนอไปได้
5 อย่างนี้ อย่า..ทำโปสเตอร์
ต่อไปนี้คือเทคนิคพิเศษสำหรับการทำโปสเตอร์โฆษณาของคุณให้ทรงพลังสะกดใจคนดูและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
อย่าเยิ้นเย้อ
โปสเตอร์โฆษณาเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์แค่หน้าเดียว แต่ต้องนำเสนอทั้งข้อความและรูปภาพ ดังนั้นต้องสรุปใจความสำคัญมาให้ดีสักก่อน พยายามจัดลำดับความคิด ความสำคัญว่าควรเขียนอะไร โดยข้อความที่จะปรากฏไว้ในโปสเตอร์โฆษณาจะต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ มีความเหมาะสมกับงานที่ทำ เลือกใช้ข้อความที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เช่น สื่อถึงวัยรุ่นควรใช้คำที่ทันสมัย เกาะกระแส นอกจากนี้ควร สั้นกะทัดรัด แต่ได้ใจความ
ถ้าเป็นสินค้า เรื่องคำอธิบายรูปร่างสินค้าให้ตัดทิ้งไป เพราะมีรูปภาพสื่อให้เห็นอยู่แล้ว อาจเลือกสโลแกนสินค้า คุณสมบัติของสินค้าที่โดดเด่นมาพาดหัวใหญ่ๆ หรือถ้าเป็นสินค้าที่กำลังอยู่ในช่วงโปรโมชั่นก็ให้คิดข้อความดึงดูดใจถึงโปรโมชั่นของสินค้าดังกล่าวแทน พยายามอย่าใช้ข้อความ คำอธิบายยาวๆ ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าลงไปทั้งหมด ไม่มีใครหยุดยืนอ่านทุกตัวอักษรในกระดาษโปสเตอร์โฆษณาอยู่แล้ว มิหนำซ้ำถ้ายิ่งใส่มากนอกจากคนอ่านอ่านไม่ทัน อ่านจับใจความไม่ได้แล้ว ยังดูรกหูรกตาจนไม่อยากอ่านหันหน้าหนีไปเลยก็มี
อย่าเรียบร้อย
จริงอยู่ที่ให้โฟกัสเฉพาะข้อความสั้นๆ ใส่ลงไปในโปสเตอร์โฆษณา แต่ก็ใช่ว่าข้อความสั้นที่ว่านี้จะต้องสั้นและเรียบนิ่งอ่านแล้วไม่เกิดอรรถรสใดๆ “จงอย่ายึดติดการนำเสนอข้อมูลตามแบบงานตีพิมพ์ทางวิชาการต่างๆ เพราะนี่คือโปสเตอร์โฆษณาไม่ใช่ตำราเอกสารวิชาการ” ภาษาไทยเป็นภาษาไม่ตายมีคำศัพท์สแลง ศัพท์วัยรุ่นมากมายให้เลือกใช้ ลองเปลี่ยนคำโบราณในประโยคแล้วหันมาใส่คำเหล่านั้นแทนลงไป รับรองว่าช่วยดึงความรู้สึกคนอ่านได้ดี และเมื่อข้อความสะดุดอารมณ์มาพร้อมกับภาพที่สะดุดสายตา
จำใส่ใจไว้ว่ากราฟฟิคที่ดีนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการโฆษณาผ่านโปสเตอร์ อย่าทำโปสเตอร์โฆษณาให้ดูเรียบร้อยเป็นสาวเฉิ่มไปซะหมด ใช้ภาพประกอบที่แปลกตาไม่เหมือนใครเข้ามาเป็นส่วนช่วยดึงดูดความสนใจจากคนดู หรือเลือกใช้สีตัดกันของฟอนท์กับพื้นภาพ ตามทฤษฎีทั่วไปแล้วควรให้ฟอนท์เป็นสีเข้ม ส่วนพื้นที่เป็นสีอ่อนจะดีกว่าจะใช้ตัวอักษรสีอ่อนบนพื้นสีเข้ม ซึ่งสีที่ดีที่สุดของตัวอักษรสำหรับโปสเตอร์ที่จะทำให้เห็นได้ชัดและอ่านได้ง่าย โดยเฉพาะโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ต้องมองดูในระยะไกล คือตัวอักษรสีดำบนพื้นสีเหลือง
อย่าดูยาก
อย่าเลือกใช้แบบตัวอักษรหรือฟอนท์ที่ดูยาก อ่านยาก ไม่ควรเลือกใช้ฟอนท์ลักษณะผอมสูง และอย่าจัดช่องไฟให้เบียดติดกัน
สำหรับขนาดก็ควรใช้ขนาดตัวอักษรใหญ่ ๆ ได้สัดส่วนกับพื้นที่และองค์ประกอบอื่น เช่น ในส่วนครึ่งบนของโปสเตอร์ควรให้ฟอนท์ขนาดใหญ่พอให้คนดูที่ยืนห่างจากโปสเตอร์โฆษณา 6 เมตร อ่านข้อความนี้ได้ ส่วนข้อความที่เหลือให้ใช้ฟอนท์ขนาดเล็กไว้ตรงด้านล่างสุดของโปสเตอร์ หากจำเป็นต้องวางฟอนท์ทับไปบนส่วนที่เป็นภาพก็ไม่ควรให้พื้นภาพบริเวณที่ตัวอักษรจะทบลงไปนั้นเป็นลวดลาย
เพราะจะทำให้อ่านยาก การใช้ภาพก็เช่นกันควรใช้ภาพที่เป็นภาพจำลองจากของจริง ให้คนดูมองแล้วสามารถเข้าใจได้ทันที อย่าเลือกใช้ภาพประเภทงานศิลป์สูงส่งที่ต้องอาศัยความรู้ทางด้านศิลปะเป็นพื้นฐานลึกซึ้งเพียงพอจึงจะดูรูปเข้าใจ และอย่าใช้ภาพประเภทแอบสแทรค (abstract) เพราะจะทำให้คนดูแปลความหมายของภาพไปได้ต่างๆนานา เพราะสำหรับการทำโปสเตอร์โฆษณาแล้ว ภาพหรือกราฟฟิคถือว่าเป็นหัวใจสำคัญส่วนหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้
ภาพจะช่วยสื่อความแทนการใช้ข้อความยาวๆ รูปภาพที่ปรากฎในโปสเตอร์จึงควรมีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อให้ดึงสายตาคนดูได้ภายในไม่กี่วินาที พยายามโฟกัสรูปภาพให้น่าสนใจเข้าไว้ อาจใช้ภาพจำลองจากของจริงแล้ว closeup เฉพาะส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของสินค้าที่ต้องการเน้นย้ำเป็ฯพิเศษก็ได้ เพราะตามปกติคนเราจะชอบดูรูปมากกว่าการอ่านข้อความอยู่แล้ว ก็จงใช้ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของมนุษย์เรานี้ให้เกิดประโยชน์แก่การทำโปสเตอร์โฆษณาของเราอย่างถึงที่สุด
อย่าเอนเอียง
ในส่วนของการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ในโปสเตอร์โฆษณานั้นก็ต้องคำนึงถึงความสมดุล (Balance) เพื่อป้องกันไม่ให้คนดูรู้สึกว่าโปสเตอร์โฆษณาแผ่นนี้ดูเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์ประกอบในโปสเตอร์โฆษณาให้เกิดความสมดุลก็สามารถทำได้ 3 แบบด้วยกัน คือ
1.สมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance) สมมาตรก็คือความเท่ากันทั้งสองฝั่ง ในทีนี้ก็มีความหมายเดียวกัน เป็นการจัดองค์ประกอบทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของพื้นที่หน้ากระดาษให้มีลักษณะที่เหมือนกัน ความเหมือนกันของทั้งสองด้านจะช่วยถ่วงน้ำหนักให้เกิดความสมดุล ถัดมา
2.สมดุลแบบอสมมาตร(AsymmetricalBalance) เป็นการจัดองค์ประกอบโดยให้ด้านซ้ายกับด้านขวาของพื้นที่หน้ากระดาษมีลักษณะไม่เหมือนกัน ที่ถึงแม้จะไม่เหมือนกัน แต่เพราะความไม่เหมือนกันในแต่ละด้านนี้เองที่จะถ่วงน้ำหนักให้เกิดความสมดุลขึ้นได้
แบบสุดท้าย
3.ความสมดุลแบบรัศมี (Radial Balance) เป็นการจัดองค์ประกอบในโปสเตอร์โฆษณาให้แผ่กระจายจากจุดศูนย์กลางออกไปทุกทิศทุกทาง
การออกแบบโปสเตอร์โฆษณาให้โดนใจคนดูได้ นักออกแบบต้องสร้างมันออกมาให้ดูง่าย (simplicity) และมีความตรงไปตรงมา (directness) ในการสื่อสารผ่านองค์ประกอบสำคัญทั้ง 3 ส่วน คือ รูปภาพ ข้อความ ชื่อสินค้า เพียงเท่านี้โปสเตอร์โฆษณาก็สื่อสารเรื่องราวไปถึงคนดูได้อย่างสำเร็จ

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การวิเคราะห์วัตถุประสงค์

การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ (Objective Analysis)
การวิเคราะห์(Analysis) เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ ซึ่ง มีความสำคัญยิ่งที่ผู้ออกแบบบทเรียนจะต้องดำเนินการอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้ได้บทเรียนที่ดีและตรงตามความต้องการของผู้เรียน ส่วนที่มีความสำคัญคือ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์เนื่องจากวัตถุประสงค์เป็นตัวกำหนดรายละเอียดของเนื้อหา แบบทดสอบ กิจกรรมการเรียน และสื่อการเรียนการสอน ดังนั้น ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ ต้องวิเคราะห์วิเคราะห์วัตถุประสงคโดยละเอียด ถ้ามีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่รัดกุม ชัดเจนจะเป็นการเริ่มต้อนที่ดี ผลที่ได้จากวัตถุประสงค์คือ
1. การกำหนดขอบเขตของเนื้อหาบทเรียน
2. การออกแบบทดสอบที่ใช้ประเมินผู้เรียน
3. การเลือกสื่อการเรียนการสอน
4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. การจัดแบ่งเวลาเรียน
ประเภทของวัตถุประสงค์ของบทเรียน
1. วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objectives) เมื่อมีการเรียนการสอนแล้วผู้เรียนจะเรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งเป็นแต่เพียงกรอบหรือแนวกว้าง ๆ ของหลักสูตรหรือของบทเรียน
2. วัตถุประสงค์เฉพาะหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Specific Objectives or Behavioral Objectives) เป็นวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้น ว่าเรียนแล้วผู้เรียนควรได้อะไร ได้มากหรือน้อยเท่าใด
ส่วนประกอบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ดังนี้
1. พฤติกรรมขั้นสุดท้ายหรือพฤติกรรมที่คาดหวัง (Terminal Behavior) หมายถึง การแสดงออกของผู้เรียน เมื่อ สิ้นสุดบทเรียนแล้วผู้เรียนแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นจะ
ต้องวัดได้หรือสังเกตได้
2. เงื่อนไขหรือสถานการณ์(Condition or Situation) เป็นข้อความที่บ่งถึงสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ เงื่อนไขพฤติกรรมที่คาดหวังออกมา มี 3 ลักษณะดังนี้
2.1 ลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาบทเรียน
2.2 ลักษณะของสิ่งเร้าที่ทำให้ผู้เรียนแสดพฤติกรรมออกมา
2.3 ลักษณะที่เป็นเงื่อนไขของการกระทำ
 3. เกณฑ์หรือมาตรฐาน (Standard or Criteria) เป็นส่วนกำหนดความสามารถขั้นต่ำของผู้เรียน การกำหนดเกณฑ์สามารถทำได้หลายลักษณะดังนี้
3.1 ลักษณะความเร็วหรือการบ่งเวลา ลักษณะเช่นนี้เน้นความชำนาญมากกว่าความรู้
3.2 ลักษณะปริมาณที่ต่ำสุด
3.3 เป็นเกณฑ์ที่ไม่สามารถระบุทั้งความเร็วและปริมาณได้
                ความหมายของคำว่าได้หมายถึงได้อย่างถูกต้องซึ่งเป็นการกำหนดเกณฑ์ในลักษณะของคุณภาพ ขึ้นอย่กับองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนดังต่อไปนี้
1. ระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียน
2. ความยากง่ายของเนื้อหา
3. ความสำคัญของเนื้อหา
การจำแนกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม จำแนกตามลักษณะของการเรียนรู้ได้3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domainจะเน้นทางด้านความสามารถทางด้านสมรรถภาพทางสมองหรือการใช้ปัญญา ได้จำแนกออกเป็น 6 ระดับ
1.1 ขั้นความรู้ (Knowledge)
1.2 ขั้นความเข้าใจ (Comprehension)
1.3 ขั้นการนำไปใช้(Application)
1.4 ขั้นการวิเคราะห์(Analysis)
1.5 ขั้นการสังเคราะห์(Synthesis)
1.6 ขั้นการประเมินผล (Evaluation)
2. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นการแบ่งระดับพฤติกรรมที่เกี่ยวกับทักษะความชำนาญ จำแนกออกเป็น 5 ระดับ
2.1 ขั้นการเลียนแบบ (Imitation)
2.2 ขั้นการปฏิบัติได้โดยลำพัง (Manipulation)
2.3 ขั้นการปฏิบัติได้ถูกต้องแม่นยำ (Precision)
2.4 ขั้นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและผสมผสาน (Articulation)
2.5 ขั้นการปฏิบัติโดยอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ(Naturalization)
3. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain) เป็นการเน้นความสามารถทางด้านความรู้สึกอารมณ์เจตคติต่อ
สิ่งต่าง ๆ แบ่ง พฤติกรรมด้านนี้ออกเป็น 5 ระดับ
3.1 ขั้นการยอมรับ (Receiving)
3.2 ขั้นการตอบสนอง (Responding)
3.3 ขั้นการสร้างค่านิยม (Valuing)
3.4 ขั้นดำเนินการ (Organization)
3.5 ขั้นแสดงลักษณะเฉพาะตนตามค่านิยม (Characterization by a Value)
การจำแนกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์
ถ้าจำแนกระดับของวัตถุประสงค์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ละเอียดเกินไป ก็ยากเกินกว่าที่จะสร้างสรรค์เป็นบทเรียนได้ ดังนั้น จึงมีการนำเสนอรูปแบบการจำแนกระดับของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์ใหม่ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ทางด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
จำแนกออกได้ 3 ระดับ ได้แก่
1.1  ขั้นการฟื้นคืนความรู้ (Recalled Knowledge) มุ่งเน้นความสามารถของผู้เรียนในลักษณะการฟื้นคืนความจำออกมาในลักษณะของการเขียนหรือการอธิบายด้วยคำพูด
1.2  ขั้นการประยุกต์ความรู้ (Applied Knowledge) เน้นความรู้ใหม่ๆของผู้เรียนและนำไปใช้อย่างถูกต้อง
1.3ขั้นการส่งถ่ายความรู้ (Transferred Knowledge) มงุ่ เน้นความสามารถของผู้เรียนในการส่งถ่ายความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในงานใหม่ ๆ ได้อย่างถูกต้อง
2. วัตถุประสงค์ทางด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) จำแนกออกได้ 3 ระดับ คือ ขั้นลอกเลียน (Imitation) ขั้นฝึกหัดความชำนาญ (Control) และขั้นความเป็นธรรมชาติแบบอัตโนมัติ(Automatism)
3. วัตถุประสงค์ทางด้านเจตพิสัย (Affective Domain) วัตถุประสงค์ด้านนี้จำแนกได้ 3 ระดับ คือ ขั้นการรับรู้ (Reception) ขั้นการตอบสนอง(Response) และขั้นการยึดมั่น (Internalization)
ข้อพิจารณาในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาขึ้น จะพิราณาดังนี้
                1.วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ต้องบ่งถึงพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากที่ผ่านบทเรียนไปแล้ว ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหรือเกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอน
                2.พฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้เรียน จะต้องบ่งชี้ด้วยกริยาที่วัดได้
                3.  วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องเกี่ยวกับผู้เรียน ไม่ใช่พฤติกรรมผู้สอนหรือของบทเรียน
                5. จำนวนข้อต้องครอบคลุมเนื้อหาสาระ
                6. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมแต่ละข้อ ควรวัดพฤติกรรมเพียงด้านเดียวหรืออย่างเดียว
                7. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในบทเรียนหนึ่ง ๆ ควรวัดพฤติกรรมให้ครบทุกด้าน
                8. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมนิยมเขียนด้วยประโยคบอกเล่า
                9. เขียนด้วยประโยคหรือข้อความสั้นๆ กระชับได้ใจความ
การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis)
การได้มาซึ่งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis) เพื่อแยกแยะว่าผู้เรียนควรจะทำงานย่อยๆ อะไรได้บ้าง จึงจะเรียกว่าบรรลุผลการทำงานนั้น ๆ งานหรือภารกิจ (Task) หมายถึงพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกในรูปของการกระทำที่บ่งชี้ถึงความสามารถในงานนั้นๆ
การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) หมายถึง กระบวนการพิจารณา จำแนก แยกแยะ ระบุประเมินผล และจัดข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับงานหรือภารกิจอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์งานจำแนกออกเป็น 3 แบบ ดังนี้
                1. งานที่เกิดจากการแยกออกเป็นงานย่อย (Task Decomposition)
2. งานที่เกิดจากการวิเคราะห์ฐานความรู้ (Knowledge-based Analysis)
3. งานที่เกิดจากการวิเคราะห์ฐานความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่(Entity Relationship-based Analysis)
กระบวนการวิเคราะห์งาน มีดังนี้
1.      กำหนดตำแหน่งงาน (Define the Position Title) เป็นหัวข้องานหรือหัวข้อบทเรียนที่กำหนดขึ้น เพื่อต้องการวิเคราะห์งานก่อนที่จะนำไปเขียนวัตถุประสงค์
2.      แยกแยะงานทั้งหมดทสีั่มพันธ์กับหน้าที่ (Identify All Job-Related Duties) เป็นการแยกแยะงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับหน้าที่ของตำแหน่งงานดังกล่าว
3.      แยกแยะงานหรือภารกิจทงั้ หมด (Identify All Tasks)
3.1 ประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์งาน (Experiences)
3.2 หลักสูตรรายวิชา (Course Description)
3.3 ตำรา เอกสาร หนังสือ หรือแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ (Literatures)
3.4 การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ (Experts)
3.5 การสังเกตการทำงาน (Job Observation)
                4. ประเมินความสำคัญของงานหรือภารกิจ (Task Evaluation)
                5. จัดลำดับงานหรือภารกิจ (Order the Tasks)
เกณฑ์การประเมินความสำคัญของงานหรือภารกิจ
            การประเมินความสำคญั ของงานหรือภารกิจที่ได้จึงมีเกณฑ์การพิจารณาจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
1. การส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาในการเรียน (Promotes Problem Solving)
2. การส่งเสริมทักษะในการทำงานถูกต้องสมบูรณ์ (Promotes Learning Skill)
3. การส่งเสริมผู้เรียนให้มีเจตคติที่ดี (Promotes Transfer Value)
การใช้Network Diagram จัดลำดับความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจ
Network Diagram เป็นแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจเพื่อแสดงลำดับความต่อเนื่องและความสัมพันธ์ของงานทั้งที่ได้จากการวิเคราะห์ รวมทั้งแสดงทางเลือกที่เป็นไปได้ของงานหรือภารกิจ Network Diagram จะเริ่มต้นด้วยจุด Start และสิ้นสุดที่จุด Stop แสดงความสัมพันธ์ของงาน โดยใช้เส้นตรงต่อเนื่องกันแบบอนุกรมเพื่อแทนงานหรือภารกิจที่ต่อเนื่องกันและใช้เส้นตรงขนานกันสำหรับแสดงงานหรือภารกิจที่สามรถามารถเริ่มได้พร้อมกัน

การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจากการวิเคราะห์งานหรือภารกิจ
การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยพิจารณาจากงานหรือภารกิจทีละข้อ ๆ จนครบตามแบบฟอร์มTask Evaluation Sheet โดยนำงานหรือภารกิจที่ผ่านการจัดลำดับมาแล้ว มาระบุเป็นพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ทำการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามหลักการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนในการวิเคราะห์วัตถุประสงค์มีดังนี้
1.             วิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis)
2.             ประเมินความสำคัญของแต่ละงานย่อย (Task Evaluation)
3.             จัดลำดับความสัมพันธ์ของงานหรือภารกิจที่ผ่านการยอมรับจากการประเมิน(Order the Task)
4.             เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Write Behavioral Objective)
ระดับความยากของวัตถุประสงค์(Difficulty of Objective)
            ระดับความยากของวัตถุประสงค์ (Difficulty of Objective) หมายถึง ระดับของการวัดของวัตถปุระสงค์ที่กระทำต่อผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมรรมใด ๆ ออกมาตามระดับทที่ต้องการ
                การกำหนดระดับความยากของวัตถุประสงค์ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1.             ระดับของผู้เรียน (Level of Audience)
2.             ความยากของเนื้อหา (Difficulty of Content)

การวิเคราะห์เนื้อหาและยุทธวิธีด้านการสอน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหา
            เนื้อหา (Content) หมายถึง ข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเพิ่มพูนประสบการณ์ทั้งที่เป็นความรู้และทักษะแก่ผู้เรียน  ความคิดรวบยอดหรือสังกัป หมายถึง เป้าหมายหรือแกนของสาระของบทเรียนที่จำแนกความแตกต่างขององค์ประกอบย่อยๆ หรือรวบรวมจากองค์ประกอบย่อยๆ
การกำหนดความคิดรวบยอดของเนื้อหา พิจารณาจากสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
1.      ลักษณะที่เห็นจากภายนอก
2.      ลักษณะที่อยู่ภายใน
3.      ความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ
4.      องค์ประกอบพิเศษอื่น ๆ
ประเภทของเนื้อหา
เนื้อหาจำแนกตามลักษณะของการเรียนรู้ได้ 2 ประเภท คือ 1) ประเภทความรู้ทางทฤษฎี(Knowledge)ท่ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านพุทธพิสัย และ 2) ประเภททักษะความชำนาญ (Skill)ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านทักษะพิสัย สามารถจำแนกได้4 ระดับ ดังนี้
1.             เนื้อหาที่เป็นจริง และกระบวนการ (Facts and Process)
2.             เนื้อหาที่เป็นแนวคิดเบื้องต้น (Basic Idea)
3.             เนื้อหาที่แสดงความคิดรวบยอด (Concept)
4.             เนื้อหาที่อยู่ในรูปของระบบความคิด (Thought System)
เกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาเลือกเนื้อหา
1. มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้เพื่อการดำรงชีวิต
2. มีคุณค่าที่จะถ่ายทอดต่อไป
3. เป็นแก่นของสาระที่มีความสำคัญต่อศาสตร์นั้นๆ
4. สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
5. สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้เรียน
6. เป็นเนื้อหาที่ช่วยกระตุ้นแนวความคิดของผู้เรียน
7. เป็นเนื้อหาที่สมดุลทั้งขอบข่ายและความลึก
8. ทันต่อเทคโนโลยีและความก้าวหน้า
9. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนที่กำหนดไว้
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
การวิเคาะห์เนื้อหา พิจารณาสองประเด็นดังนี้
1. องค์ประกอบในการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
 1.1 แหล่งที่มาของเนื้อหา (Content Resources)
 1.2 วัตถุประสงค์การวิเคราะห์เนื้อหา (Objective of Content Analysis)
 1.3 หน่วยที่ใช้ในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis)
2. ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
                2.1 การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective)
2.2 การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data)
2.3 การประเมินความสำคัญของหัวเรื่องย่อย (Evaluate Sub-Topic)
2.4 การจัดลำดับความสัมพันธ์ของหัวเรื่อง (Sequencing)
2.5 การเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)
ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา
            1. การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective) การวิเคราะห์เนื้อหาจึงต้องศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนที่ได้จากการวิเคราะห์งานหรือภารกิจอย่างละเอียด เพื่อพิจารณาถึงเค้าโครง ลักษณะและความสัมพันธ์ของเนื้อหาแต่ละส่วนที่จะนำไปสร้างเป็นตัวบทเรียนคอมพิวเตอร์ต่อไป
2. การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data) ข้อมูลในที่นี้ หมายถึง ข้อความ เนื้อหา ภาพ เสียง วัสดุเครื่องมือ โปรแกรม และส่วนอื่นๆ ที่ใช้ในการนำเสนอและออกแบบบทเรียน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักดังนี้
                1) ส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียน (Subject Matter Resources)
2) ส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบบทเรียน (Instructional Design Resources)
3) กระบวนการที่เกี่ยวกับการนำส่งบทเรียน (Delivery System Resources)
ขั้นตอนการรวบรวมและการศึกษาข้อมูล มีดังนี้
2.1 รวบรวมข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมดหมดจากแหล่งที่มาของเนื้อหา
2.2 ประเมินข้อมูลปัจจุบันเหล่านั้นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.3 รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆภายนอก
2.4 ประเมินข้อมูลทั้งหมดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.5 ศึกษารายละเอียดของข้อมูลที่ได้
ขั้นตอนการรวบรวมและการศึกษาข้อมูล มีดังนี้
2.1 รวบรวมข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมดจากแหล่งที่มาของเนื้อหา
2.2 ประเมินข้อมูลปัจจุบันเหล่านั้นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.3 รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆ ภายนอก
2.4 ประเมินข้อมูลทั้งหมดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
2.5 ศึกษารายละเอียดของข้อมูลที่ได้
3. การประเมินความสำคัญของหัวข้อย่อย (Evaluate Sub-Topic)
                3.1 การส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาในการเรียน (Promotes Problem Solving)
                3.2 การส่งเสริมทักษะในการทำงานถูกต้องสมบูรณ์(Promotes Learning Skill)
                3.3 การส่งเสริมผู้เรียนให้มีเจตคติที่ดี (Promotes Transfer Value)
4. การจัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหา (Sequencing)
                4.1 จัดลำดับเนื้อหา โดยพิจารณาเนื้อหาจากง่ายไปสู่เนื้อหายาก
                4.2 จัดตามลำดับก่อนหลังของเนื้อหา
4.3 จัดลำดับเนื้อหาจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย ๆ
4.4 จัดลำดับเนื้อหาตามลำดับเวลาที่เกิดก่อนหลัง
4.5 จัดลำดับเนื้อหาจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม
4.6 จัดลำดับเนื้อหาจากที่สังเกตได้มาเป็นข้อมูลหรือกฎเกณฑ์
5. การเขียนเนื้อหาใหสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)
                5.1 เนื้อหาหลัก (Main Element) ได้แก่ความคิดรวบยอดที่เป็นแกนของเนื้อหานั้น ๆ
                5.2 ความรู้ต่าง ๆ (Knowledge) ได้แก่ข้อมูลหรือข้อมูลปลีกย่อยที่สนับสนุนให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาหลัก
ขั้นตอนการเรียนการสอน
ขั้นตอนการเรียนการสอน สามารถจำแนกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นสนใจปัญหา (M : Motivation) ในบทเรียนคอมพิวเตอร์แล้ว ขั้นสนใจปัญหามักจะเริ่มต้นด้วยการสร้างปัญหาให้ผู้เรียนได้คิด
2. ขั้นศึกษาข้อมูล (I : Information) ขั้นตอนนจึงเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆที่จะช่วยแก้ปัญหาที่ตั้งไว้ตอนแรก
3. ขั้นนำข้อมูลมาใช้(A : Application) เป็นการแก้ปัญหาโดยใช้ข้อสองมาเป็นข้อมูล เพื่อตรวจสอบกับความรู้ใหม่ที่ได้รับมาแก้ปัญหาที่มี
4. ขั้นประเมินผลสำเรจ็ (P : Progress) เป็นการตรวจสอบผลที่ได้นำข้อมูลมาใช้ว่า ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่โดยพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก
วิธีการนำส่งบทเรียนคอมพิวเตอร์
1.             นำเสนอแบบเป็นกลุ่ม (Group Presentation)
2.             นำเสนอแบบกลุ่มย่อย (Small-group Presentation)
3.   แบบเรียนด้วยตัวเอง (Self-pace Instruction)
การประเมินผลการเรียนการสอน
ปัจจัยในการพิจารณาแบบทดสอบที่ใช้ในการประเมินผลมีทั้งหมด 7 ประเด็นดังนี้
1. พฤติกรรมของผู้เรียนที่ต้องการ (Audience Behaviors)
2 เวลาในการทดสอบ (Time)
3. ลักษณะการสอบ (Kind of Test)
4. วิธีการสอบ (Methodology)
5. ความถี่ในการสอบ (Frequency)
6. เกณฑ์(Criteria)
7. ลักษณะการตรวจผล (Checking Method)
ขั้นตอนการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1. ศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
2. กำหนดชนิดของแบบทดสอบ
3. เตรียมงานและเขียนแบบทดสอบฉบับร่าง
4. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ
5. ดำเนินการจัดพิมพ์แบบทดสอบ
ชนิดของแบบทดสอบสำหรับการเรียนการสอน
แบบทดสอบจำแนกออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test)
2. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)
ลักษณะของแบบทดสอบที่ดี
1.             มีความเที่ยงตรง (Validity)
2.             มีความเชื่อมั่นสูง (Reliability)
3.             มีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty)
4.             มีอำนาจจำแนกดี (Discrimination)
5. มีความเป็นปรนัย (Objectivity)
6. มีลักษณะการส่งถ่าย (Transferable)
7. เรียงลำดับเหมาะสม (Sequence)
8. มีลักษณะเฉพาะ (Specificity)
9. มีประสิทธิภาพ (Efficiency)